สวัสดีค่ะ entry นี้เกิดจาก การไปอ่านบลอคของ Chris Oatley,Noah Bradley ที่คุยกันค่ะ ดูไปประมาณ 3 ชั่วโมงรวมคลิปที่เกี่ยวข้องอันอื่นๆ ได้มุมมองอื่นๆมากมาย
คนแรก Chris Oatley http://chrisoatley.com/ ทำงานอยู่ดิสนีย์ค่ะ ส่วน Noah Bradley http://www.noahbradley.com/ทำงานฟรีแลนซ์ให้ Magic The Gathering การ์ดเกมชื่อดัง โดยสองคนนี้เค้าอัดวีดีโอตอนคุยกันใน google hangout และนำมาเผยแพร่ในเว็บไซต์ เกี่ยวกับ ทำไมเค้าถึงลาออกจากงานที่หลายๆคนใฝ่ฝัน เพื่อมาทำงานของตัวเอง
http://youtu.be/mJQiVSrihXU
ทั้งสองคนมีคอร์สสอน online ค่ะ โดย Chris สอน Magic box course และ Noah มี อาร์ทแคมป์ ซึ่งพอดูๆแล้วอ่านๆไปพบว่าสองคนนี้เค้าคิดคล้ายๆที่เราคิดเลยค่ะอยากให้ไปดูวีดีโอในเว็บเค้านะคะ
เรารู้มาจากรุ่นน้องคนหนึ่งค่ะว่าอาร์ติสท์ในไทยหลายๆคนอยากไปทำงานที่ IFS สิงคโปร์ จริงๆแล้วที่นี่ก็คือที่ๆเป็นงานในฝันของเรานั่นแหละค่ะ เรามีความสุขมากระหว่างที่อยู่ที่นั่น ที่นั่นให้ความสำคัญกับพนักงานมาก คือ พวกครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ และ Senior ไม่ถือตัวหรือแสดงความเป็นเจ้านายต่อพนักงาน เพราะฉะนั้นเราก็จะออกไปทำกิจกรรมร่วมกันนอกเวลางาน เช่น ไปดูหนังร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ,เล่นเกมหลังจากเสร็จงาน,ไปดูแกลเลอรี่ด้วยกัน,ไปขี่จักรยานด้วยกัน,บางวันแสตนลีย์ก็ลงมาสอนพนักงานวาด โดยการจับกลุ่มและให้เพื่อนในสตูโพสต์ท่า และอีกหลายๆอย่างที่เราไม่เคยสัมผัสหรือเคยทำมาก่อน ที่เป็นวัฒนธรรมเฉพาะของสิงคโปร์ ซึ่งระหว่างเราอยู่ที่นี่ เมื่อคิดถึงอดีตก็พบว่าเป็นความทรงจำที่สวยงามค่ะ
ถ้าถามว่าทำไมถึงออกจากงานในฝันตัวเอง เราทำงานไปพบว่า จริงๆการทำงานในสตูดิโอ ไม่สามารถเลือกงานที่เราอยาก หรือไม่อยากทำได้ เราต้องทำทุกงานที่เจ้านายบอกให้ทำ ซึ่งถามว่ามีความสุขไหม ก็มีความสุขดีค่ะ แต่เราอยากทำงานหรือทำกิจการของตัวเองมากกว่ารวมทั้งปัญหาเรื่องสุขภาพ เลยกลับไทยในที่สุด (เล่าไปแล้ว แต่เล่าอีกเผื่อใครไม่เคยอ่านเอนทรี่ก่อนๆ)
ส่วนช่วงแรกๆในการเป็นฟรีแลนซ์เราก็ลำบากมากค่ะ เพราะเราไม่มีฐานลูกค้าเท่าไรเลย ตอนแรกก็มีงานจากคนที่เห็นงานเราในเน็ทแล้วก็ติดต่อมาให้ทำงาน เราก็เจอเบี้ยว เจองานฟรีหลายๆครั้งอย่างที่เคยบอก เพราะช่วงแรกเราไม่เลือกที่จะรับลูกค้าเลย
การที่คุณไม่สามารถเลือกลูกค้าได้ คุณจะตกอยู่ในอาการที่ว่า ต้องรับงานทุกงานที่เข้ามาค่ะ และการที่รับทุกงานที่เข้ามา ทำให้ positioning หรือตำแหน่งของคุณในตลาดนั้นๆไม่ชัดเจน เราถามตัวเองว่า อยากจะออกมาเพื่อรับจ้างวาดรูปอย่างนี้อีกจริงๆเหรอ มันเหมือนกับการที่เราเอาแต่ get low hanging fruit ค่ะ(เป็นสำนวน แปลว่า โอกาสที่ได้มาง่ายๆ) คืองานที่เราทำไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนเลย และเราก็ไม่สามารถไปทำงานกับลูกค้าในอเมริกาบางรายที่เคยทำในสตูได้ด้วยเพราะลายเส้นกับแนวของเรามันไม่ได้ตะวันตกจ๋า และไม่มีอาร์ทไดเรคเตอร์ช่วยดูงานและตบงานให้ดูลงตัว
เราเป็นนักวาดฟรีแลนซ์อยู่ 2 ปีแรก เราถามตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ มันแตกต่างยังไงจากตอนอยู่ IFS ซึ่งลายเส้นเรานั้นออกไปทางตะวันออก หรือ manga มากกว่าการจะเป็นแนวตะวันตก แต่ช่วงที่เราอยู่ที่นั่น เราได้แต่เพนท์งานแนวตะวันตก พวกการ์ดเกม และก็พบตัวเองว่า เราชอบงานเพนท์แนวตะวันตก แต่ชอบงานเส้นแบบตะวันออกค่ะ แต่พอวาดงานเส้นเยอะๆ หลายๆครั้งมันก็เหนื่อย ล่าสุดเราไปทำงานให้คุณตั้ม พิริยะ แอพ Sticgo พบว่าชอบงานแนวนี้มากค่ะ คือแนวเส้นน้อยๆ
ช่วงที่เราเป็นนักวาดฟรีแลนซ์นั้น เรารู้สึกเหมือนที่ Noah รู้สึกค่ะ คือ เค้าบอกว่า งานที่เค้าทำแล้วมีความสุข คือ งานเพนท์การ์ด Magic the gathering แต่เค้าบอกว่าในที่สุด เค้าก็เลิกทำงานฟรีแลนซ์ หันมาทำโปรเจคตัวเองที่อยากทำ (คงเก็บเงินได้ประมาณหนึ่งค่ะ) สำหรับเรานั้นก็คงเหมือนกัน คือ เราไม่จำเป็นต้องทำงานตามคำสั่งของลูกค้าอีกแล้ว เราสามารถเลือกงานที่อยากทำได้พอสมควร อีกทั้ง ตารางสอนของเราคิวแน่นเกือบทุกเดือนค่ะ แต่สิ่งที่หายไปคือ เราอาจจะวาดไม่ได้เส้นเยอะเท่าสมัยก่อน พอย้อนไปดู ตกใจเหมือนกันว่าสมัยก่อนเราวาดขยันขนาดนี้เลยเหรอ เพราะเราไม่จำเป็นต้องเลี้ยงชีพด้วยการวาดรูป ทำให้เรามาโฟกัสที่การถ่ายทอดความรู้ยังไงให้เด็กที่มาเรียน เรียนรู้เรื่องมากกว่า
นอกจากนี้ เรายังวาดรูปโดยมีความสุขมากขึ้น หลังจากเลือกรับงานเฉพาะงานที่อยากทำ และเรทราคาที่เราได้งานแต่ละชิ้น ก็เป็นเรทที่เราพอใจ
ตอนเราเป็นนักวาดอยู่ เราก็คิดอะไรหลายๆอย่างค่ะ การเป็นนักวาดนั้น จะดีใจเมื่อคนที่เห็นงานเราแล้วรู้สึกชอบ รู้สึกสร้างแรงบันดาลใจหรือจุดไฟให้กับนักวาดหลายๆคนในวงการ แต่ตัว illustration เองนั้น ถ้าเป็นตัวภาพเดี่ยวๆ ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ งานที่ดูแค่ illustration อย่างเดียวแล้วเรารู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแปลว่าคุณทำงานได้โดนใจหรือ impact คนจำนวนมากๆ
แต่พอเรามาจับงานเขียน เราได้รับกำลังใจจากคนอื่นๆมากมาย บางคนบอกว่าเห็นเราเป็นตัวอย่างในการออกมาทำงานของตัวเอง รวมไปถึงนักเรียนที่มาเรียนวาดกับเรา ต่างขอบคุณและซึ้งในสิ่งที่เราทำ จนหลายๆคนเชียร์ให้รวมเล่มได้แล้ว เรารู้สึกว่างานเขียน,สอน,วาดรูปตามใจตัวเองนี่แหละค่ะ ที่เราทำแล้วมีความสุขจริงๆ เป็นงานที่รู้สึกว่า ถึงเราถูกล็อตเตอรี่เป็นล้าน แบบไม่จำเป็นต้องทำงานต่อไปอีกแล้วชั่วชีวิต งานเหล่านี้ก็ยังคงเป็นงานที่เราทำอยู่ค่ะ มีคนที่รวยแล้วหลายๆคน ไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตคือ อะไรกันแน่ บางคนไม่เคยค้นพบเลยจนกว่าจะตายไป คนที่โชคดีหน่อยก็คือคนที่รู้ว่าในชีวิตเราอยากทำอะไร?
ถ้าถามว่างานที่เราอยากทำที่สุดคืออะไร?ก็คงจะเป็นวาดรูปตามใจอยาก,เขียนตามใจอยาก,และงานสอน ซึ่งล้วน Base จากความต้องการของเราเอง ไม่ใช่ความต้องการของลูกค้าเหมือนกับการเป็นนักวาดฟรีแลนซ์ ที่ต้องวาดตามสั่งลูกค้า แต่เราจะบอกว่า สิ่งที่เรากำลังเป็นอยู่ อาจจะไม่ใช่แนวทางที่ใช่ของคุณก็ได้ค่ะ คุณต้องถามตัวเองว่า คุณอยากใช้ชีวิต หรือทำงานแบบไหน? ซึ่งประสบการณ์มันจะเป็นตัวบอกคุณเอง
มันก็เหมือนกับการเลือกดูหนัง หรือ เล่นเกม ซึ่งดูหนัง บางคนอาจจะชอบหนังเข้าใจง่ายๆ,บางคนชอบหนังอาร์ท,บางคนชอบหนังแอคชั่น,บางคนเลือกเล่นเกม rpg,fighting เป็นต้น ซึ่งรสนิยมของแต่ละคนมันแตกต่างกันไป ทำให้แต่ละคนทำงานออกมาไม่เหมือนกันค่ะ
ตอนนี้ถ้าใครอยากทำงานขายต่างประเทศก็ไม่ยากแล้ว เพราะมีเว็บไซต์อย่าง indiegogo,kickstarter ซึ่งเป็น Crowdfunding เราสามารถรวบรวมทุนมาทำโปรเจคของตัวเองได้ คุณจะทำคอมิคหรือทำอาร์ทบุคของตัวเองได้โดยการใช้เว็บที่ว่า
ก่อนหน้านี้ เรามีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของเจย์ พาร์ค หรือ พาร์ค แจ บอม อดีตหัวหน้าวงทูพีเอ็มมาค่ะ จัดที่ เจเจมอลล์ คนก็แน่นเลยค่ะ ซึ่งเป็นคอนครั้งแรกที่เราได้ไปดู ซึ่ง เจย์ เป็นศิลปินที่เราชอบ จากการวางตัวของเขา ที่ออกจะตะวันตกมากกว่าตะวันออก และไม่สนว่าใครจะมองว่าเขาเป็นคนยังไง และเจย์ ก็เป็นอีกคนที่โชคชะตาของเขาพลิกผันไปเนื่องจากเจอเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตของเขาค่ะ คือถูกแอนตี้แฟน ในเกาหลี แฮค มายเสปซของเจย์ ซึ่งเป็นข้อความในเชิงบ่นและต่อว่าประเทศเกาหลี และเผยแพร่ข้อความดังกล่าวทำให้เจย์ต้องออกจากวงทูพีเอ็มในที่สุด บางคนที่เกลียดมากก็ไล่ให้เขาไปฆ่าตัวตายซะค่ะ ถือว่าเขาเจอเหตุการณ์ที่รุนแรงในชีวิต
มีนักข่าวไปถามเจย์ว่า รู้สึกยังไงที่ไม่ได้เป็นไอดอลอยู่ในวงทูพีเอ็มแล้ว เจย์บอกว่า เขาตอบว่ารู้สึกดีเพราะว่าตอนนี้เขาได้ทำเพลงแนวที่อยากทำ คือ ฮิปฮอปและอาร์แอนด์บี ผลงานของเจย์ช่วงหลังๆได้ขึ้นบิลบอร์ดชาร์ต ในหมวดเวิลด์มิวสิค
การที่เขามาจัดคอนเสิร์ตที่เจเจ มอลล์ เป็นการแสดงให้เห็นว่า ไม่จำเป็นจะต้องยิ่งใหญ่ หรือโด่งดังมากมาย แต่มีแฟนๆมากพอที่จะสนับสนุนผลงานของเขาก็ทำให้เขาอยู่ได้ก็พอแล้วค่ะ
ซึ่งเจย์ก็เคยบอกไว้ในทวิตของเขาค่ะ ว่าไม่สามารถจำกัดความได้ว่าเขาเป็นไอดอลหรือเป็นอาร์ติสท์ แต่เราคิดว่าหลังๆเขาค่อนไปทางอาร์ติสท์แล้ว ซึ่งเขาแต่งเพลงเองทั้งเนื้อร้องและทำนองหลายๆเพลง รวมถึง ออกมิกซ์เทปของตัวเองให้คนได้ download ฟรี ชื่อ fresh air breath it ค่ะ ยอดโหลดตอนนี้เป็นแสนแล้ว
เราคิดว่าคนที่ทำงานในอุดมคติก็เป็นแบบนี้ คนเราสมัยก่อน ไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียง หน้าตา เงิน หรืออื่นๆ ในยุคสมัยก่อน คนก็เหมือนสัตว์อย่างหนึ่งที่ ออกล่าหาอาหารไปวันๆ เราจึงคิดว่าแค่ทำงานที่ตอบโจทย์ในชีวิตของคนเราได้ก็พอค่ะ นั่นคือ เลี้ยงชีพได้ และมีความสุขกับงานที่ทำ หรือรักในสิ่งที่ทำพอสมควร
นอกจากนี้เราเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียนชื่อ เดเรค ซิลเวอร์ค่ะ ชื่อ Anything you want เดเรคเป็นนักธุรกิจ ที่ขายธุรกิจของเขาแล้วมอบเงินให้การกุศลค่ะ ตอนแรกเขาเป็นนักดนตรีค่ะ คอนเซปต์เริ่มต้นของเขาคือ จะทำเว็บขายซีดีเพลงที่ตัวเองเล่น ต่อมาพวกเพื่อนๆของเขา ก็ขอให้เขาเอาซีดีเพลงไปขายในร้านด้วย และกิจการของเขาขยายมาเรื่อยๆจนกระทั่งเว็บของเขาได้เป็นเว็บขายซีดีที่ใหญ่ลำดับต้นๆ ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเว็บของเขาจะถูกแอปเปิ้ลซื้อไปค่ะ เดเรคได้ขายกิจการเพื่อมาทำสิ่งที่เขาอยากทำจริงๆค่ะ
กลับมาที่ Chris Oakley ค่ะ เขาได้บอกว่า การที่โปรโมทตัวเองที่ดีที่สุด คือ การทำอะไรบางอย่างที่ช่วยเหลือคนอื่นๆให้มากๆ แล้วเราจะเป็นคนที่มีงานอย่างต่อเนื่องค่ะ และงานศิลปะนั้น Seth godin พูดเอาไว้ค่ะว่าศิลปะจริงๆแล้วควรจะเริ่มจากแนวคิดที่ว่าทำฟรีๆก็ได้ก่อน เพราะว่าทำฟรีนั้น มันคือการทำงานที่เราได้ใส่จิตวิญญาณของงานลงไปในนั้น และมันจะทำให้คนอื่นๆที่เสพย์งานเรารู้สึกถึงความตั้งใจนั้นได้ และสุดท้ายงานศิลปะเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ค่ะ
ไม่ใช่หมายความว่าให้คุณไปรับงานฟรีจากคนอื่นๆมาทำนะคะ เราหมายถึงงานฟรีที่เป็น personal project ของคุณเอง เช่น การทำอาร์ทบุค,หรืออย่างเราก็คือเขียนฟรีๆให้อ่านกัน มันเป็นงานที่เราทำแล้วมีความสุข อยากทำต่อไปเรื่อยๆ รู้สึกดีที่หลายๆคนมีชีวิตที่ดีขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากได้อ่านบทความของเราค่ะ
ทั้งนี้คุณต้องยอมรับได้ค่ะ ว่าการเผยแพร่งานของคุณออกสู่สาธารณชน ก็ย่อมมีทั้งคนที่ชอบคุณและไม่ชอบคุณเป็นเรื่องธรรมดา และมีคนมากมายที่วิจารณ์งานของคุณ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจคำด่าที่ไม่มีเหตุผล แต่คนที่วิจารณ์อย่างมีเหตุผลก็รับฟังบ้าง แต่อย่าเสียจุดยืนของตัวเองในการทำงานไปค่ะ
I’d rather be hated for who I am, than loved for who I am not.
Kurt Cobain